วันพุธที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2558

                                      การบริหารเชิงยุทธศาสตร์

การบริหารเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Management)
                เป็นกระบวนการในการบริหารเพื่อให้บรรลุภารกิจขององค์การ อยู่บนแนวคิดที่ว่า องค์การของเราไม่ได้อยู่เป็นเอกเทศโดยตัวของเราเอง แต่อยู่ภายใต้บริบทของสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสภาพแวดล้อมที่มากระทบกับองค์การนั้น บางครั้งก็เป็นโอกาส บางครั้งก็เป็นภัยคุกคาม นอกจากนี้ องค์การเองก็ต้องกำหนดจุดยืนขององค์การด้วย เพื่อวางยุทธศาสตร์ให้ชัดเจนมากขึ้น
กระบวนการบริหารเชิงยุทธศาสตร์ แบ่งออกเป็น ขั้นตอน คือ

             1. การวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ (Strategy Formulation)
                  เป็นเรื่องของการกำหนดวิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธศาสตร์ เป้าประสงค์ ตัวชี้วัด/ค่าเป้าหมาย กลยุทธ์ Strategy Map

             2. การนำไปสู่การปฏิบัติ (Strategy Implementation)
                  เป็นการนำแผนยุทธศาสตร์ถ่ายทอดออกมาเป็นแผนปฏิบัติการ รวมถึงการปรับแต่งองคาพยพทางด้านการบริหารจัดการ ได้แก่ กระบวนการ โครงสร้าง เทคโนโลยี และคน

             3. การควบคุมเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic Control)
                  เป็นการกำกับติดตามและประเมินผลการดำเนินงาน และการทบทวนสถานการณ์เพื่อปรับแต่งยุทธศาสตร์

กระบวนการในการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์



ประเด็นคำถามหลักในการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์
1. เราจะไปในทิศทางไหน? (Where are you going?)                 
                     - กำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ (vision & mission statement)
 2. สภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร? (What is the environment?)
                  - วิเคราะห์สภาพแวดล้อม และสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอก (internal & external analysis) การวิเคราะห์หาจุดอ่อน – จุดแข็ง – โอกาส – ภัยคุกคาม ต่าง ๆ (SWOT)
3. เราจะไปถึงจุดหมายได้อย่างไร? (How do you get there?)                 
                       วางกลยุทธ์ หรือแนวทางการดำเนินงาน (strategies) เพื่อให้บรรลุในสิ่งที่เราต้องการจะทำ
ทั้งนี้ ในบางตำราอาจให้เริ่มจากการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมก่อนที่จะกำหนดทิศทางขององค์กร แต่หากเรา
สามารถคิดนอกกรอบ หรือ Think out of the box ได้ เราก็สามารถปรับเปลี่ยนขั้นตอน โดยการกำหนดไว้ก่อนว่าเราจะไปในทิศทางใด แล้วจึงค่อยวิเคราะห์ว่าสภาพแวดล้อมที่จะไปในทิศทางนั้นเป็นอย่างไร

การวางยุทธศาสตร์ขององค์การ

             ในการวางยุทธศาสตร์นั้น จะต้องมีการกำหนด คำแถลงภารกิจขององค์การ (Mission statement)ซึ่งคือ การให้คำนิยาม หรือการอธิบายถึงขอบข่ายการดำเนินงานหรือลักษณะของการดำเนินงานขององค์การ เช่น องค์การของเราจะให้บริการอะไรมีใครเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะมารับบริการจากเราจุดมุ่งหมายของการดำเนินงานและภาพลักษณ์ที่ต้องการจะเป็นคืออะไรรวมไปถึงปรัชญาการบริหารงาน หรือค่านิยมขององค์การที่ยึดมั่น (core values)

                เมื่อกำหนดคำแถลงภารกิจขององค์การแล้ว ขั้นต่อไปก็คือการกำหนด เป้าประสงค์ หรือวัตถุประสงค์ในระดับภาพรวมขององค์การ ว่าเราต้องการที่จะบรรลุอะไร และนั่นก็คือสิ่งที่เรากำหนดให้องค์กรภายในองค์การดำเนินการ โดยระบุตัวชี้วัดความสำเร็จที่ชัดเจน

               ในการประเมินผลตามคำรับรองการปฏิบัติราชการนั้น ได้แบ่งออกเป็น มิติ โดยปรับจากแนวคิดของ Kaplan & Norton ในเรื่อง Balanced Scorecard (BSC) ซึ่งมิติทั้ง ด้านนั้น ได้แก่     
      
มิติที่ 1 : มิติด้านประสิทธิผล
             เทียบได้กับมิติทางด้านการเงิน (Financial Perspective) ของ BSC โดยกำหนดให้องค์การแสดงผลงานที่บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย ตามที่ได้รับงบประมาณมาดำเนินการ โดยเน้นว่าต้องการที่จะบรรลุวัตถุประสงค์อะไร

มิติที่ 2 : มิติด้านประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการ
             เทียบได้กับมิติทางด้านกระบวนการดำเนินงาน (Internal Work Process Perspective) ของ BSCโดยกำหนดให้องค์การแสดงความสามารถในการปฏิบัติราชการ เช่น การลดค่าใช้จ่าย และการลดระยะเวลาการให้บริการ เป็นต้น

มิติที่ 3 : มิติด้านคุณภาพการให้บริการ
             เทียบได้กับมิติทางด้านลูกค้า (Customer Perspective) ของ BSC โดยกำหนดให้องค์การแสดงการให้ความสำคัญกับผู้รับบริการในการให้บริการที่มีคุณภาพ สร้างความพึงพอใจแก่ผู้รับบริการ รวมทั้งเรื่องของความโปร่งใสในการทำงานด้วย

 มิติที่ 4 : มิติด้านการพัฒนาองค์กร
             เทียบได้กับมิติด้านการเรียนรู้และการเติบโตขององค์กร (Learning & Growth Perspective) ของBSC โดยกำหนดให้ส่วนราชการแสดงความสามารถในการเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงขององค์กร เช่น การพัฒนาระบบฐานข้อมูล การบริหารคนและความรู้ในองค์การ เป็นต้น

             ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่ Template ในเรื่องของการเป็นองค์กรที่มุ่งเน้นยุทธศาสตร์ (Strategy - focused Organization)


โดยจุดมุ่งหมายที่ต้องการคือ การสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้น (Value Creation) เช่น การให้บริการนักศึกษาดีขึ้น ซึ่งเทียบได้กับมิติด้านประสิทธิผล หรือ Financial Perspective ของ BSC
             และตามหลักของ BSC นั้น ในการที่จะทำให้บรรลุจุดมุ่งหมายดังกล่าว จะต้องมีการปรับแต่งใน 3ส่วน คือ
1) Internal Work Process Perspective
2) Customer Perspective และ
3) Learning & Growth Perspective

ซึ่งเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ template นี้แล้ว ก็หมายถึงการปรับแต่งใน ส่วน คือ

             1. การบริหารกระบวนการ
                  โดยการปรับแต่งกระบวนงานให้ดีขึ้น เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ โดยการ การทำงานให้รวดเร็วยิ่งขึ้น สูญเสียน้อยลง และได้ผลผลิตเพิ่มมากขึ้น

             2. กระบวนการบริหารลูกค้า
                  จะต้องมีระบบดูแลลูกค้าผู้รับบริการ เพื่อเกิดความพึงพอใจ นอกจากนี้ จะต้องเปิดเผย โปร่งใส และเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจและความไว้วางใจกับภาคราชการ ทั้งนี้ เพื่อให้การทำงานที่มีคุณภาพ

             3. การวางระบบบริหารจัดการสินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้
                  เพราะโลกในยุคปัจจุบัน หัวใจของการแข่งขันนั้นอยู่ที่สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ นั่นก็คือ         ทุนมนุษย์ (Human Capital) ทุนข้อมูลสารสนเทศ&ทุนความรู้ (Information Capital) ทุนองค์การ(Organization Capital) ซึ่งเมื่อเราพัฒนาและมีการบริหารจัดการที่ดีในเรื่องนี้แล้ว จะนำไปสู่การสร้างขีดสมรรถนะของตัวองค์การ และมีความพร้อมในเชิงยุทธศาสตร์
             โดยสรุปแล้ว หากเราบริหารทั้ง ส่วนให้ดี ก็จะทำให้องค์การมีประสิทธิภาพ  มีคุณภาพ และมีขีดสมรรถนะสูงขึ้น นำไปสู่การบรรลุผลตามยุทธศาสตร์ที่เราวางไว้
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมและการวางกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
                ในการกำหนดวิสัยทัศน์ ประเด็นยุทธศาสตร์ และเป้าประสงค์ได้นั้น เราจะต้องมีการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทั้งภายนอกและภายในด้วย

             สภาพแวดล้อมภายนอก
             ประกอบด้วยสภาพแวดล้อมทั่วไป ได้แก่ เศรษฐกิจ การเมือง สังคม เทคโนโลยี และสภาพแวดล้อมในการดำเนินการ ได้แก่ สถานภาพการแข่งขัน ลูกค้า Suppliers  แรงงาน และสถานการณ์นานาชาติ

             สภาพแวดล้อมภายใน
             โดยวิเคราะห์ขีดสมรรถนะขององค์การ ทั้งในด้านโครงสร้าง กระบวนการทำงาน บุคลากร การเงิน เทคโนโลยี และการบริหารงานทั่วไป ซึ่งก็คือ การทำ SWOT Analysis นั่นเอง
             ซึ่งในการทำ SWOT Analysis นั้น จะนำไปสู่การคิดเชิงกลยุทธ์ ทำให้เราสามารถวางกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยการวิเคราะห์ SWOT จะทำให้เราได้สถานการณ์ที่เป็นไปได้ สถานการณ์
             1. กลยุทธ์เชิงรุก คือ องค์กรอยู่ในสถานการณ์ที่มีโอกาส และมีจุดแข็งมาก ส่งผลให้สามารถบุกตลาด โดยการขยายงาน ขยายโอกาส เพื่อให้ได้กำไรเพิ่มขึ้น
             2. กลยุทธ์การปรับตัว คือ มีโอกาสมาก แต่ตัวองค์การเองมีจุดอ่อนมาก ก็ต้องปรับตัวองค์การให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น เพื่อใช้โอกาสที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์
             3. กลยุทธ์การชะลอตัว คือ องค์การมีจุดแข็งมาก แต่สถานการณ์ไม่เอื้ออำนวย จะบุกตลาดต่อไปไม่ได้ จึงต้องชะลอตัว
             4. กลยุทธ์การตัดทอน คือ องค์การมีจุดอ่อน และสภาพการณ์ภายนอกก็เป็นภัยคุกคาม ทำให้ไม่สามารถทำอะไรได้ จึงอาจจะต้องตัดทอนบางอย่าง เพื่อให้องค์การคงอยู่ต่อไปได้


กลยุทธ์ในการดำเนินการ
             ในตำราทางด้าน MBA มีกลยุทธ์ที่เป็นสูตรสำเร็จมาตรฐานอยู่ รูปแบบ คือ

             1. กลยุทธ์การเจาะลึก (Concentration)
                  หลังจากที่วิเคราะห์ SWOT แล้ว มีแนวโน้มว่าจะไม่สามารถขยายขอบเขตการทำงานได้ เราจึงอาจจะต้องหันมาเน้นในจุดที่องค์การมีความชำนาญหรือเก่งมากที่สุด และทำในจุดนั้นก่อน

             2. กลยุทธ์การประคองตัว (Stability)
                  ใช้ในสถานการณ์ที่ยังไม่สามารถบุกตลาดต่อไปได้ เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวย จึงต้องรอดูท่าทีก่อน


             3. กลยุทธ์การขยายตัว (Growth)
                  ใช้ในสถานการณ์ที่โอกาสเปิดให้ และองค์การมีจุดแข็ง สามารถทำอะไรได้มาก ก็สามารถใช้ กลยุทธ์ในเชิงรุก ซึ่งมีหลายวิธี เช่น                   

               - การบูรณาการในแนวนอน (horizontal integration) คือ การซื้อกิจการของคู่แข่ง                 
               - การบูรณาการแนวดิ่ง (vertical integration) คือ การบูรณาการทั้ง backward และ forward ซึ่งการบูรณาการในด้าน backward คือ การมองถอยหลังไปถึงกระบวนการผลิต และควบคุมปัจจัยการผลิตเพื่อให้เกิดแน่นอน เช่น ถ้าทำธุรกิจจำหน่ายเบียร์ ก็ทำ backward integration ก็คือการมีไร่ปลูกข้าวมอลต์เพื่อใช้ทำเบียร์ และการตั้งโรงงานผลิตขวดเป็นของตัวเองสำหรับบรรจุเบียร์ ส่วนการบูรณาการในด้านforward หรือ forward integration นั้น คือ การเข้าไปควบคุมทางด้านการตลาดด้วย เช่น การเปิดร้านเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ หรือเบียร์เองด้วย                 
                  - การแตกตัว (diversification) คือ การขยายธุรกิจ เช่น เดิมเป็นพ่อค้ารับเหมาก่อสร้าง ก็ขยายธุรกิจออกไปทำคอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ เป็นต้น รวมไปถึงการแตกไลน์ธุรกิจไปในหลาย ๆ ด้าน           - การร่วมทุน (joint venture) คือ การร่วมทุนกับองค์การอื่นในการขยายธุรกิจ ในกรณีที่องค์การของเรายังไม่มีความพร้อม


             4. กลยุทธ์การพัฒนา (Development)
                  - การพัฒนาตลาด (market development) คือ สินค้าตัวเดิมแต่มองหาตลาดใหม่ ๆ                - การพัฒนาผลิตภัณฑ์ (product development) คือ การพัฒนาสินค้า/ผลิตภัณฑ์ เพื่อนำเข้าสู่ตลาดเดิมและตลาดใหม่                 
                   - นวัตกรรม (innovation) คือ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาด

             5. กลยุทธ์การตัดทอน (Retrenchment) ใช้ในสถานการณ์ที่มองว่าองค์การไปไม่รอด เพราะขาดจุดแข็ง และพบภัยคุกคาม ดังนี้ สิ่งที่จะต้องทำก็คือ
                  - การพลิกฟื้น (turnaround) เช่น การเปลี่ยน CEO โดยนำ CEO ใหม่เข้ามาบริหาร เพื่อพลิกฟื้นสถานการณ์                  
                  - การถอนการลงทุน (divestment) เช่น ขอคืนทุน หรือถอนหุ้นออกจากกิจการที่เห็นว่าไปไม่รอดแล้ว
                  - การเลิกกิจการ (liquidation)

             ทั้งนี้ กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้น จะใช้เมื่อไหร่ หรือใช้กลยุทธ์ใด ก็ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์สถานการณ์

              นอกจากนี้ ในการกำหนดกลยุทธ์นั้น ยังมีการแยกออกเป็นหลาย Level ด้วย โดยเฉพาะในองค์การใหญ่ ๆ ได้แก่
             1. Corporate-level Strategy หรือ ภาพรวมของตัวองค์การ
             2. Business-level Strategy หรือ การมองในแต่ละประเภทของธุรกิจ/ภารกิจ
             3. Functional-level Strategy เช่น ในด้านการผลิต การตลาด ฯลฯ
             ยกตัวอย่างเช่น Holiday Inns. Inc. เมื่อปี ค.ศ. 1980 ซึ่งทำธุรกิจหลายประเภท โดยแบ่งออกเป็น 4กลุ่ม คือ โรงแรม การขนส่ง ร้านอาหาร และคาสิโน ซึ่งเกิดจากการแตกไลน์ธุรกิจจากเดิมที่มีเพียงธุรกิจโรงแรม เนื่องจากองค์การมีศักยภาพ และตลาดเปิดโอกาสให้
            ในการวางยุทธศาสตร์ เมื่อหันกลับมามององค์การของตนเองว่า จะให้ความสำคัญในจุดใดนั้น ก็ต้องมาวิเคราะห์ Portfolio โดยใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น Boston Model ที่มองใน มิติคือ ส่วนแบ่งตลาด (Market share) และ อัตราการเติบโตของธุรกิจ (Market growth rate) โดยนำธุรกิจ หรือภารกิจมาวิเคราะห์ว่า แต่ละธุรกิจหรือภารกิจนั้น อยู่ที่จุดใด เพื่อกำหนดกลยุทธ์ที่จะรับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ เช่น


             - ธุรกิจที่อยู่ในจุดที่เป็น “Star” คือ มีส่วนแบ่งตลาดมาก และตลาดมีอัตราการเติบโตสูง ก็สามารถที่จะเดินหน้าธุรกิจนั้นต่อไปได้ โดยใช้กลยุทธ์ในเชิงรุก
             - ธุรกิจที่อยู่ในจุดที่เป็น “Cash Cow” คือ มีส่วนแบ่งตลาดมาก แต่มีอัตราการเติบโตน้อย หรือ ยิ่งใหญ่ในตลาดที่กำลังจะตาย
             - ธุรกิจที่อยู่ในจุดที่เป็น “?” คือ มีส่วนแบ่งตลาดไม่มากนัก แต่มีโอกาสมากเนื่องจากมีอัตราการเติบโตของตลาดสูง ก็ต้องมาพิจารณาว่า ธุรกิจนั้นจะถอยหรือจะเดินหน้าต่อไป และพัฒนาให้เป็น “Star” ให้ได้
           - ธุรกิจที่อยู่ในจุดที่เป็น “Dog” คือ มีส่วนแบ่งตลาดน้อย และอัตราการเติบโตของตลาดต่ำ ก็ควรที่จะยกเลิกกิจการไป
             อีกเครื่องมือหนึ่งที่พัฒนามาจาก Boston Model คือ GE’s 9 cell Matrix ซึ่งขยายให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น โดย Market share ในมิติเดิม ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น Business Strength หรือ ขีดความเข้มแข็งของธุรกิจ และอีกมิติหนึ่งคือ Industrial Attractiveness หรืความน่าสนใจของอุตสาหกรรมหรือตลาดโดยแบ่งออกเป็น ระดับ คือ น้อย กลาง มาก

การนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ

            สิ่งที่ต้องดำเนินการในการนำยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ คือ
             1. การถ่ายทอดแผนยุทธศาสตร์ออกมาเป็นแผนปฏิบัติการ หรือ Action plan
             2. การปรับแต่งองคาพยพทางด้านการบริหาร

             1. การถ่ายทอดแผนยุทธศาสตร์ออกมาเป็นแผนปฏิบัติการ หรือ Action plan 
                  การถ่ายทอดแผนยุทธศาสตร์ออกมาเป็นแผนปฏิบัติการหรือโครงการ สิ่งสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจคือ เรื่องของกลยุทธ์ซึ่งเป็นแนวทางที่จะบรรลุเป้าประสงค์ โดย กลยุทธ์ไม่จำเป็นจะต้องถอดออกมาเป็น โครงการ เพราะในความเป็นจริงแล้ว อาจรวมหลาย ๆ กลยุทธ์แล้วถอดออกมาเป็น โครงการก็ได้             
              2. การปรับแต่งองคาพยพ (parameter) ทางด้านการบริหารจัดการ
                  หลังจากที่มีแผนยุทธศาสตร์และถ่ายทอดออกมาเป็นแผนปฏิบัติการแล้ว สิ่งที่ยังต้องดำเนินการต่อไป คือ การปรับแต่งองคาพยพทางด้านการบริหาร ทั้งด้านกระบวนการ โครงสร้าง เทคโนโลยี และคน ตามแนวทางของ Kaplan & Norton ในเรื่อง Balanced Scorecard ซึ่งได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น

                นอกจากนี้ ตามหลักการของ Total Quality Management : TQM นั้น อาจจะต้องไปปรับแต่งอีกหลายด้าน ได้แก่            
                 - Leadership หรือความสามารถของผู้บริหารองค์การ              
                 - Strategy Deployment หรือการทำให้เกิดการถ่ายทอดเป้าหมายขององค์การลงไปสู่ตัวบุคคล เพื่อให้เกิดการ share vision ว่าองค์การของเรากำลังจะมุ่งไปสู่ ณ จุดใด            
                  - Information & Analysis หรือการมีระบบข้อมูล หรือระบบ IT ที่ดี เพื่อที่จะสามารถแข่งขันได้             
                  - HR Focus หรือการพัฒนาทักษะของคนในองค์การ ให้มีความรู้ในเรื่องยุทธศาสตร์ใหม่ เพื่อให้องค์การสามารถก้าวไปข้างหน้าได้            
                   - Process Management หรือการวางกระบวนการในการทำงานใหม่ เพื่อรองรับกับยุทธศาสตร์ใหม่ หรือสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
                   - Customer & Market Focus หรือการมุ่งเน้นและดูแลความต้องการของลูกค้า/ผู้รับบริการ และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย


                      เรื่องของการปรับแต่งองคาพยพทางด้านการบริหารนี้ องค์การสามารถจัดทำข้อเสนอการเปลี่ยนแปลงหรือ Blueprint for Change เพื่อให้องค์การเกิดความพร้อมในการสนับสนุนและผลักดันให้ประเด็นยุทธศาสตร์มีสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และบังเกิดผลในทางปฏิบัติต่อไปได้ 

การควบคุมเชิงยุทธศาสตร์
                วิธีการหนึ่งในการควบคุมเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งถือเป็น การผูกมัด เพื่อให้มั่นใจว่าสิ่งที่ได้วางแผนไว้แล้วนั้นจะบังเกิดผล ก็คือ การจัดทำคำรับรอง หรือ Agreement เช่น ในกรณีของการจัดทำคำรับรองการปฏิบัติราชการ และการกำหนดเครื่องมือในการการติดตามความก้าวหน้าและผลสัมฤทธิ์ในการทำงาน เช่น SAR Card นอกจากนี้ ยังมีการเฝ้าระวังของการเปลี่ยนแปลงในเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งเป็นการควบคุมในอีกลักษณะหนึ่ง เนื่องจากการกำหนดแผนยุทธศาสตร์นั้น ตั้งอยู่บนสถานการณ์ต่าง ๆ  ดังนั้น จะต้องมีผู้ที่คอยติดตาม เฝ้าระวัง และตรวจสอบสถานการณ์ ว่าเปลี่ยนแปลงได้ส่งผลกระทบมากน้อยแค่ไหน ซึ่งถ้าหากว่าส่งผลกระทบมาก ก็จะต้องมีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ และคิดแผนที่จะรองรับกับสถานการณ์นั้น

อ้างถึง ใน ดร.ทศพร ศิริสัมพันธ์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น